หน้าหลัก / บทความ / ประวัติศาสตร์ไปรษณีย์ไทย: จาก "จดหมายเหตุ" สู่ "ไปรษณีย์ 4.0"

ประวัติศาสตร์ไปรษณีย์ไทย: จาก "จดหมายเหตุ" สู่ "ไปรษณีย์ 4.0"

ผู้เขียน: ศักดา วิไลกุล
เขียนเมื่อ: 2024-04-25

รูปภาพประกอบบทความ ประวัติศาสตร์ไปรษณีย์ไทย: จาก "จดหมายเหตุ" สู่ "ไปรษณีย์ 4.0"

ระบบไปรษณีย์ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ทำหน้าที่เชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างผู้คนในสังคม ไปรษณีย์ไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจ ผ่านการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านเดินทางย้อนเวลาไปสำรวจวิวัฒนาการของไปรษณีย์ไทย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายไปจนถึงยุคดิจิทัลที่ทันสมัย

จุดเริ่มต้น: ระบบสื่อสารในสมัยโบราณ

ก่อนการก่อตั้งระบบไปรษณีย์อย่างเป็นทางการ การสื่อสารในสมัยโบราณของไทยอาศัยวิธีการที่หลากหลาย ได้แก่

  • การส่งสารด้วยปากเปล่า: เป็นวิธีการสื่อสารที่เก่าแก่ที่สุด โดยใช้มนุษย์เป็นผู้ส่งสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการเดินทางไปส่งสารด้วยตนเอง หรือการส่งต่อข้อมูลผ่านผู้คนหลายคนไปยังปลายทาง วิธีนี้เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางสั้น แต่อาจเกิดการคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้ง่าย
  • การใช้สัญญาณ: เป็นการสื่อสารโดยอาศัยเครื่องมือหรือสิ่งของต่างๆ ในการส่งสัญญาณ เพื่อแจ้งข้อมูลหรือเตือนภัย เช่น การตีเกราะเคาะไม้ การจุดไฟส่งสัญญาณควัน หรือการใช้ธง เป็นต้น วิธีนี้สามารถส่งสารได้ในระยะทางไกล แต่มีข้อจำกัดในด้านปริมาณและความซับซ้อนของข้อมูลที่ส่ง
  • การส่งสารด้วยลายลักษณ์อักษร: เป็นการเขียนข้อความลงบนวัสดุต่างๆ แล้วนำไปส่งยังผู้รับ วัสดุที่ใช้เขียนมีหลากหลาย เช่น ใบลาน แผ่นหิน ไม้ไผ่ ผ้า และกระดาษ เป็นต้น การส่งสารด้วยลายลักษณ์อักษรช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้มากขึ้น และลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลจากการส่งแบบปากเปล่า อย่างไรก็ตาม ยังมีความยากลำบากในการขนส่งวัสดุที่มีน้ำหนักมากและอาจชำรุดเสียหายได้ง่ายระหว่างทาง

การส่งสารในสมัยโบราณมักถูกจำกัดอยู่เฉพาะในหมู่ชนชั้นปกครองหรือผู้มีอำนาจ เนื่องจากมีความยากลำบากและใช้เวลานาน สามัญชนทั่วไปมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ใช้บริการเหล่านี้ การสื่อสารส่วนใหญ่จึงเป็นไปเพื่อราชการหรือกิจการสำคัญของรัฐเท่านั้น

การก่อตั้งไปรษณีย์ไทย: จาก "จดหมายเหตุ" สู่ "กรมไปรษณีย์โทรเลข"

การเข้ามาของชาติตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4 นำมาซึ่งวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงแนวคิดเรื่องระบบไปรษณีย์สมัยใหม่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสาร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "กรมไปรษณีย์โทรเลข" ขึ้นในปี พ.ศ. 2426 นับเป็นจุดเริ่มต้นของระบบไปรษณีย์ไทยอย่างเป็นทางการ

ที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกตั้งอยู่ที่ตำบลสำเพ็ง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใช้ชื่อว่า "ไปรษณียาคาร" มีเจ้าพนักงานไปรษณีย์ประจำการเพียง 2 คน คือ นายฮันเตอร์ ชาวอังกฤษ ซึ่งทำหน้าที่ผู้บัญชาการไปรษณีย์ และขุนสารประเสริฐ (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) เป็นผู้ช่วย ในระยะแรก มีการให้บริการเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น โดยใช้ตราประทับรูปวงกลมซ้อนกัน 2 วง มีตัวอักษรว่า "BANGKOK" และ "PAID" ปั๊มลงบนซองจดหมาย ซึ่งถือเป็นต้นแบบของตราประทับไปรษณียากรในเวลาต่อมา

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.ศ. 112-126) ระบบไปรษณีย์ไทยได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก ทั้งในด้านโครงสร้างการบริหาร การขยายเครือข่ายสาขา และการพัฒนาคุณภาพบริการ สามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ดังนี้

  • ปี พ.ศ. 2428 ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union: UPU) ซึ่งทำให้สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของส่งทางไปรษณีย์กับประเทศสมาชิกอื่นๆ ได้สะดวกมากขึ้น
  • ปี พ.ศ. 2430 เกิดความขัดแย้งกับฝรั่งเศสในปัญหาเขตแดนบริเวณลาว ทำให้ต้องเลิกทำสัญญากับบริษัทเอกชนในการขนส่งไปรษณีย์ จึงจัดตั้งหน่วยขนส่งไปรษณีย์ขึ้นมาเอง เรียกว่า "กองลาลีเมล์" หรือ "กองลาไปรษณีย์"
  • ปี พ.ศ. 2433 กรมไปรษณีย์ได้รับการยกฐานะเป็น "กรมไปรษณีย์โทรเลข" สังกัดกระทรวงโยธาธิการ เนื่องจากมีการนำระบบโทรเลขเข้ามาใช้ควบคู่กับระบบไปรษณีย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร
  • ปี พ.ศ. 2435 เริ่มมีการใช้แสตมป์รูปพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นแสตมป์ไทยชุดแรก ออกใช้ในโอกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 40 พรรษา
  • ปี พ.ศ. 2440 มีการประกาศใช้ "พระราชบัญญัติไปรษณีย์ ร.ศ. 115" ซึ่งนับเป็นพระราชบัญญัติไปรษณีย์ฉบับแรกของไทย มีสาระสำคัญคือ การให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่กรมไปรษณีย์ในการรับขนส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร และสิ่งของต่างๆ ทางไปรษณีย์ รวมถึงการกำหนดอัตราค่าไปรษณียากรสำหรับบริการประเภทต่างๆ
  • ปี พ.ศ. 2443 เริ่มเปิดให้บริการไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียน (Registered Mail) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับสิ่งของมีค่าที่ส่งทางไปรษณีย์
  • ปี พ.ศ. 2444 ขยายขอบเขตงานไปรษณีย์ให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยจัดแบ่งเป็น 10 มณฑลไปรษณีย์ และตั้งที่ทำการไปรษณีย์ประจำหัวเมืองต่างๆ

ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ไปรษณีย์ไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาขาครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และมีปริมาณการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้า รวมถึงการปฏิรูประบบราชการที่ทำให้การสื่อสารระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีความจำเป็นมากขึ้น ไปรษณีย์จึงกลายเป็นกลไกสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน และการดำเนินธุรกิจการค้าในสมัยนั้น

ยุคเปลี่ยนผ่าน: จาก "กรมไปรษณีย์โทรเลข" สู่ "การสื่อสารแห่งประเทศไทย"

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารราชการหลายครั้ง ส่งผลให้กิจการไปรษณีย์โทรเลขต้องปรับตัวตามไปด้วย ในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการโอนกิจการไปรษณีย์โทรเลขไปสังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 จึงได้มีการจัดตั้ง "กรมไปรษณีย์โทรเลข" ขึ้นอีกครั้ง ภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านเมืองเริ่มฟื้นตัวจากความเสียหาย กรมไปรษณีย์โทรเลขได้มุ่งพัฒนาปรับปรุงบริการ และขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในชนบทและพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการไปรษณีย์ได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น

  • บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS): เริ่มให้บริการในปี พ.ศ. 2520 เพื่อตอบสนองความต้องการการส่งสิ่งของที่ต้องการความรวดเร็ว โดยรับประกันการจัดส่งถึงปลายทางภายใน 1-2 วัน
  • บริการส่งของเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery: COD): เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2531 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าทางไปรษณีย์ ช่วยแก้ปัญหาความไม่ไว้วางใจในการชำระเงิน โดยผู้ส่งสามารถเก็บเงินค่าสินค้าได้เมื่อผู้รับได้รับสินค้าเรียบร้อยแล้ว

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลได้ตรา "พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519" โดยมีผลให้กรมไปรษณีย์โทรเลข แปรสภาพเป็น "การสื่อสารแห่งประเทศไทย" (กสท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2520 การแปรสภาพครั้งนี้ส่งผลให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวมากขึ้น สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับกับความท้าทายของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ยุคปัจจุบัน: "ไปรษณีย์ไทย" กับการก้าวสู่ยุคดิจิทัล

ในปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขัน กสท. จึงได้รับการแปรสภาพอีกครั้ง กลายเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ภายใต้ชื่อ "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด" เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2546 โดยรัฐบาลยังคงถือหุ้นใหญ่ ไปรษณีย์ไทยจึงยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่มีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการมากขึ้น

ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยกระดับการให้บริการ ภายใต้วิสัยทัศน์ "ไปรษณีย์ไทย รอบรู้ทันโลก ก้าวไกลสู่ยุคดิจิทัล" ตัวอย่างของการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่

  • ระบบ Track & Trace: ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะของสิ่งของที่ฝากส่งได้แบบเรียลไทม์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เพิ่มความมั่นใจและความโปร่งใสในการให้บริการ
  • บริการ Prompt Post: แอปพลิเคชั่นสำหรับการเรียกใช้บริการรับ-ส่งพัสดุ คล้ายกับ Grab หรือ Lalamove ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการจัดส่ง และเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
  • บริการ e-Commerce: ไปรษณีย์ไทยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ พัฒนาระบบนิเวศน์ด้าน e-Commerce เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งการขนส่ง การชำระเงิน และการให้บริการจัดเก็บสินค้า (Fulfillment) แบบครบวงจร

นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานการบริการ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งในด้านความรวดเร็ว ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ตลอดจนการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการต่างๆ เช่น การใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในการขนส่ง, การลดการใช้พลาสติก และการส่งเสริมการรีไซเคิลวัสดุหีบห่อ เป็นต้น

ไปรษณีย์ไทยมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น "ไปรษณีย์ 4.0" ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำของประเทศ ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบการบริการที่เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้า พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม

สรุป

จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 150 กว่าปีก่อน วันนี้ไปรษณีย์ไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และพฤติกรรมของผู้บริโภค ความสำเร็จของไปรษณีย์ไทยมาจากการปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

ในโลกยุคดิจิทัล บทบาทของไปรษณีย์อาจเปลี่ยนแปลงไป แต่ความสำคัญยังคงอยู่ ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงคนและธุรกิจเข้าด้วยกัน ไปรษณีย์ไทยจึงยังคงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานการให้บริการ ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 150 ปีของไปรษณีย์ไทย เต็มไปด้วยเรื่องราวของความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม ในการร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับประเทศชาติต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง